สิ่งที่คุณควรรู้ก่อนเลือกฟิล์มกรองแสงสำหรับรถของคุณ
การใช้รถยนต์บนท้องถนนที่ร้อนระอุจากสภาพอากาศของประเทศไทยนั้นเป็นสิ่งที่ทรมานและสร้างความกวนใจไม่น้อย แสงอาทิตย์สาดส่องให้เกิดความร้อน แถมยังรบกวนสายสายตา ทำให้ทัศนวิสับในการขับขี่ลดลง เจอแบบนี้ไม่ดีเป็นแน่ ฉะนั้นตัวช่วยที่จะใช้ตอบโจทย์ปัญหาแสงแดดนี้ก็คงหนีไม่พ้น “ฟิล์มกรองแสงรถยนต์” นอกจากจะช่วยลดแสงรบกวนสายตาทำให้ขับขี่สบาย ช่วยลดความร้อน ป้องกัน UV/IR แล้ว ฟิล์มกรองแสงยังให้ความเป็นส่วนตัวจากสายตาของคนภายนอกอีกด้วย ในปัจจุบันร้อยละ 90% ของผู้ใช้รถยนต์ ก็จะใช้ฟิล์มกรองแสงควบคู่กันไปด้วยนั่นเอง ต่อให้มีรถแอร์แต่ถ้าอากาศร้อน ก็อาจจะทำให้หงุดหงิดเสียสมาธิได้อีก
จึงมีนวัตกรรมสุดล้ำที่เรียกว่า ‘ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์’ ขึ้นมาเพื่อทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น แล้วสำหรับมือใหม่เพิ่งใช้รถ หรือกำลังมีแพลนจะซื้อรถใหม่กัน ยังคงไม่ค่อยเข้าใจเรื่อง ฟิล์มกรองแสงมากนัก ใช่ไหมว่า เราควรเลือกติดฟิล์มแบบไหนดีนะ วันนี้ทางร้านได้รวบรวมข้อมูลเรื่องฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ และสิ่งที่ควรรู้ก่อนติดฟิล์มรถยนต์ มาให้อ่านเพื่อเป็นข้อมูลความรู้ และใช้เป็นแนวทางประกอบการตัดสินใจก่อนติดฟิล์มกรองแสงมาให้ทุกคน
ฟิล์มกรองแสง เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของรถยนต์ เพราะช่วยทำให้เวลาเราขับขี่ป้องกันความร้อน และให้ความเป็นส่วนตัวได้อีกด้วย แต่ลูกค้าบางท่านก็จะไม่รู้ว่า “ติดฟิล์มกรองแสงรุ่นอะไรดีนะ”, “ต้องเลือกติดฟิล์มกรองแสงอย่างไรดี” และคำถามอีกมากมาย วันนี้ผมมีข้อควรรู้ก่อนติดตั้งฟิล์มกรองแสงมาฝากเพื่อน ๆ กัน
ฟิล์มกรองแสงคือ ?
ฟิล์มกรองแสง คือ แผ่นวัสดุที่ผลิตมาจาก ‘พลาสติกโพลีเอสเตอร์’ มีคุณสมบัติเหนียว บาง เรียบ ยืดหยุ่นน้อย และไม่ดูดซับความชื้น ที่สำคัญยังมีความทนทานต่อสภาพอากาศได้เป็นอย่างดี โดยในเนื้อฟิล์มกรองแสงจะมีวัสดุเพื่อเคลือบประเภทต่างๆ เช่น อนุภาคนาโนเซรามิค สารโลหะ ผงนาโนคาร์บอน ที่ใช้เพื่อป้องกันความร้อนและรังสี UV โดยเฉพาะ ซึ่งฟิล์มกรองแสงใช้เทคโนโลยีในการเคลือบเป็นชั้นๆ แล้วผสานกันด้วยกาวพิเศษเพื่อการยึดเกาะได้อย่างเหนียวแน่น สามารถนำมาติดแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกับกระจกรถยนต์ของเรา และด้วยความที่เนื้อกาวเป็นสีใส จึงเป็นตัวช่วยยึดติดกับกระจกแบบกลมกลืนเนียนตา คมชัด มองทะลุผ่านฟิล์มได้อย่างชัดเจน
พอเข้าใจเกี่ยวกับฟิล์มกรองแสงกันพอสมควรแล้วใช่ไหมครับ ต่อมาเราจะมาดูกันต่อว่า สิ่งที่คุณควรรู้ก่อนตัดสินใจติดฟิล์มกรองแสงมีอะไรบ้าง
1.ประเภทของฟิล์มกรองแสง
ฟิล์มกรองแสงสำหรับติดรถยนต์มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นฟิล์มปรอท ฟิล์มคาร์บอน ฟิล์มเซรามิคฟิล์มนาโน เอาจริงๆ… ถ้าเปรียบเทียบตลาดรถยนต์ของประเทศไทยในตอนนี้ ฟิล์มกรองแสงที่ขายดี และเป็นที่ต้องการของตลาดมากที่สุด ก็หนีไม่พ้นฟิล์มเซรามิคอย่างแน่นอน
ทำไมฟิล์มเซรามิคถึงเป็นที่ต้องการของตลาดบ้านเรา?
เพราะ แดดประเทศไทยร้อนยิ่งกว่าทะเลทรายซาฮาร่า จึงทำให้ความสามารถของฟิล์มเซรามิคผุดขึ้นมา เป็นที่ประจักษ์แก่ปวงชนชาวไทย… นั่นก็คือความสามารถในการลดความร้อนของฟิล์มเซรามิคที่ลดได้จริงๆ แบบไม่ได้โม้! – หรืออีกเหตุผลหนึ่งที่เราได้ยินโดยทั่วสารแดนไทย นั่นก็เพราะความเป็นเซรามิคนั้นมีความเคลียร์มากกว่า ฟิล์มทั่วไป การขับรถบนท้องถนนที่ร้อนระอุ ฟิล์มเซรามิคจึงถือว่าได้เปรียบกว่า หรือเหตุผลสุดท้าย
ฟิล์มเซรามิค ดำนอกสว่างในทำให้คาแรคเตอร์ของรถคุณมีความเท่ห์ สมาร์ท และที่ สำคัญไม่กีดกั้นสัญญาณดิจิตอลต่างๆ เช่น GPS, Easy Pass ขับผ่านแบบลื่นปรืดๆ นอกจากฟิล์มเซรามิคจะมีคุณสมบัติที่ดีขนาดนี้แล้ว กับคนที่รักรถแนะนำเลยว่า ถ้าคุณติดฟิล์มเซรามิคนี้ อุปกรณ์ภายในรถของคุณ จะมีอายุที่ยืนยาวขึ้นแน่นอน เพราะคุณสมบัติลดความร้อน บวกกับการทำงาน ของโครงสร้างเซรามิค จะสามารถกรองรังสียูวีที่จะเข้ามาในรถของคุณได้ดีมาก แดดที่ผ่านฟิล์มเซรามิคเข้ามาจะ ลดความรุนแรงลง จึงทำให้อุปกรณ์ภายในรถของคุณปลอดภัยจากแสงแดด 800 องศาฟาเรนไฮน์ อย่างแน่นอน
นอกจากฟิล์มเซรามิคจะมีคุณสมบัติที่ดีขนาดนี้แล้ว กับคนที่รักรถแนะนำเลยว่า ถ้าคุณติดฟิล์มเซรามิคนี้ อุปกรณ์ภายในรถของคุณ จะมีอายุที่ยืนยาวขึ้นแน่นอน เพราะคุณสมบัติลดความร้อน บวกกับการทำงานของโครงสร้างเซรามิค จะสามารถกรองรังสียูวีที่จะเข้ามาในรถของคุณได้ดีมาก แดดที่ผ่านฟิล์มเข้ามาจะลดความรุนแรงลง จึงทำให้อุปกรณ์ภายในรถของคุณปลอดภัยจากแสงแดด 800 องศาฟาเรนไฮน์อย่างแน่นอน ศึกษาข้อมูลและคุณสมบัติของฟิล์มกรองแสงรุ่นที่เราสนใจ หรือ สอบถามจากร้านติดฟิล์มที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้
2.ประสิทธิภาพในการป้องกันความร้อน
ข้อนี้ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุดในการเลือกซื้อฟิล์มกรองแสงเลยก็ว่าได้ ก็คือการป้องกันความร้อนจากแสงของดวงอาทิตย์ ซึ่งเจ้าของรถยนต์จะต้องเลือกว่าฟิล์มกรองแสงที่กำลังดูอยู่ หรือจะตัดสินใจติดอยู่นี้ มันสามารถให้การป้องกันช่วงรังสีและความร้อนได้ครบถ้วนหรือไม่ ซึ่งคำตอบว่าป้องกันได้ไหม จะไม่ได้มาจากการลองไปนั่งแป๊บนึงแล้วก็รู้สึกว่าป้องกันได้เท่านั้น แต่มันต้องมาจากการทดสอบและวัดค่าอย่างเชื่อถือได้ตามหลักวิทยาศาสตร์นั่นเอง ซึ่งจะวัดช่วงความร้อนจากรังสีทั้ง 3 ช่วง ดังนี้
2.1 ช่วงรังสีอินฟราเรด ที่มีความร้อนสูงสุด และมีความยาวที่สุดคือ 760–2400 นาโนเมตร
2.2 ช่วงแสงสว่างหรือ Spectrum ที่มีความร้อนเป็นอันดับ 2 มีช่วงคลื่นอยู่ที่ 400–760 นาโนเมตร
2.3 ช่วงรังสี UV ที่มีความร้อนต่ำที่สุด โดยมีช่วงคลื่นสั้นที่สุดอยู่ที่ 0-400 นาโนเมตร
ดังนั้น ผลการทดสอบที่ดีที่สุดก็ควรจะป้องกันรังสีได้ทั้งหมดตั้งแต่ 0 -2400 นาโนเมตร และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าฟิล์มกรองแสงบางประเภทป้องกันรังสี UV ได้แต่ไม่สามารถป้องกันความร้อนได้นั่นเอง
โดยการทดสอบก็ง่ายมากๆ โดยการที่คุณสามารถขอให้ทางร้านหรือช่าง นำเครื่องทดสอบประสิทธิภาพฟิล์มกรองแสงมาวัดให้ดูก่อนตัดสินใจ
3.ความเข้มของฟิล์ม
เหมือนเป็นปัญหาโลกแตก สำหรับการติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์ กับคำถามที่ว่า “ติดฟิล์มกรองแสงแบบไหนดี” คนใช้รถบ้านเราปัจจุบันเหมือนกัน มีหลายกลุ่มหลายประเภท กลุ่มคนที่ใช้รถปกติคงมีปัญหาอะไรไม่มาก เมื่อมองแค่เพียงว่า ประเทศไทยเมืองร้อน ติดเพื่อป้องกันความร้อนจากอากาศภายนอกได้ก็พอ ไม่อยากให้รถเป็นเหมือน “ไมโครเวฟ”
ต้องทราบความต้องการของตัวเองก่อนว่า ต้องการติดฟิล์มกรองแสงเพื่ออะไร หรือเน้นการใช้งานด้านไหน อาทิเช่น เราขับรถเวลากลางวันบ่อย ก็ต้องติดฟิล์มกรองแสงที่มีคุณสมบัติกันความร้อนได้สูง เป็นต้น
ความเข้มของฟิล์มกรองแสงความเข้มของฟิล์มกรองแสงจะขึ้นอยู่กับค่าแสงสว่างส่องผ่าน
(Visible light transmission) หรือ VLT ยิ่งแสงสว่างส่องผ่านน้อย จะทำให้ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์มีสีเข้มมาก แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่
3.1ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์เข้ม 40% คือฟิล์มกรองแสงที่ยอมให้แสงส่องผ่านได้ประมาณ 40-50 %
3.2ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์เข้ม 60% คือฟิล์มกรองแสงที่ยอมให้แสงส่องผ่านได้ประมาณ 20-40 %
3.3ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์เข้ม 80% คือฟิล์มกรองแสงที่ยอมให้แสงส่องผ่านได้ประมาณ 5-20 %
ก่อนที่จะเลือกติดฟิล์มความเข้ม 40/60/80 ควรคำนึงถึงปัจจัยเรื่องความสามารถในการกันร้อนก่อน ยิ่งฟิล์มกรองแสงที่มีค่าแสงสว่างส่องผ่านน้อยก็ยิ่งช่วยกันความร้อนและป้องกันรังสี UV ที่เข้ามาในตัวรถได้มากขึ้น แต่ก็ต้องแลกกับทัศนวิสัยที่อาจจะไม่สว่างชัดเท่ากับฟิล์มกรองแสงที่มีค่าแสงสว่างส่องผ่านมาก ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวและลักษณะการใช้รถของแต่ละท่านด้วย
4.ความชำนาญของช่างติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์
เป็นอีกข้อที่สำคัญไม่แพ้ข้ออื่นๆ ไม่เพียงแค่รายละเอียดหรือคุณภาพของฟิล์มกรองแสงเท่านั้นที่เราควรทราบ แต่งานช่าง ในขั้นตอนติดตั้งก็เป็นเรื่องที่ควรคำนึงถึงเช่นกัน ต่อให้เราจะเลือกฟิล์มกรองแสงคุณภาพดี สเปคดีแค่ไหนแต่หากติดตั้งโดยช่างที่ประสบการณ์ไม่มากพอ หรือขาดความชำนาญ อาจจะทำให้พบปัญหาต่างๆหลังติดเสร็จไปแล้ว อย่างเช่น พบเม็ดฝุ่น ฟองอากาศ หรือฟิล์มหลุดร่อน ก็เป็นได้ ทำให้คุณต้องเสียเวลา เสียความรู้สึกไม่น้อย ดังนัั้น การตรวจเช็ค หาข้อมูลเกี่ยวกับช่างฟิล์มจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เจ้าของรถต้องแน่ใจว่า ช่างที่จะมาติดรถคุณนั้นมีความชำนาญมากพอ ก็จะสามารถช่วยลดโอกาสการเกิดปัญหาตามมาทีหลัง หรือเกิดปัญหาได้น้อยที่สุดนั่นเอง
แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าช่างแต่ละร้านมีประสบการณ์หรือความชำนาญมากพอหรือยัง แนะนำให้คุณลองดูรีวิว หรืออาจสอบถามจากคนที่เคยใช้บริการจากช่างในร้านนั้นๆที่คุณสนใจ ก็พอจะช่วยให้คุณทราบถึงความชำนาญของช่างได้เช่นกัน
การติดตั้งฟิล์มกรองแสง ในขั้นตอนการลอกอาจจะส่งผลต่อเส้นไล่ฝ้า ซึ่งการลงมือลอก ทางทางร้านติดฟิล์มจะทำการตรวจสอบถึงความเสี่ยงและแจ้งให้ลูกค้าทราบก่อนเพื่อรับรู้ร่วมกัน แต่หากทางร้านติดฟิล์มไม่แจ้ง ให้ลูกค้าสอบถามกับทางช่างเรื่องของไล่ฝ้า เพื่อป้องกันความเสียหายในจุดนี้
เมื่อทำการติดตั้งฟิล์มกรองแสงเรียบร้อยแล้ว ให้ทำการตรวจสอบฟิล์มกรองแสงในทุก ๆ บาน และความเรียบร้อยภายในของรถยนต์ก่อนทำการรับรถไป และต้องได้ใบรับประกันคุณภาพฟิล์มกรองแสงทุกครั้ง
5.อายุการรับประกัน / เงื่อนไขรับประกัน
ข้อสุดท้ายคงเป็นสิ่งที่ทุกคนถามถึง คือ อายุการรับประกันของฟิล์มกรองแสงแต่ละยี่ห้อ ก็จะมีความแตกต่างกันออกไป ตามเงื่อนไขที่แต่ละร้านกำหนด หรือเป็นเงื่อนไขกำหนดของฟิล์มกรองแสงแต่ละแบรนด์ เพราะฉะนั้นหากคุณสนใจฟิล์มกรองแสงรุ่นไหนยี่ห้อไหน ก็ควรสอบถามกับทางร้านให้แน่ใจก่อนว่า การรับประกันหลังติดตั้งนั้นมีอายุนานกี่ปี และมีเงื่อนไขในการรับประกันอย่างไรบ้าง เพื่อคุณจะได้รู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้น โดยทั่วไป ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ จะมีอายุรับประกัน ตั้งแต่ 2-3-5-7-10 ปี โดยประมาณ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของคุณแล้วละว่า ฟิล์มกรองแสงที่คุณต้องการติดเหมาะสมกับคุณภาพรับประกันหรือไม่ หากรู้สึกพึงพอใจในเงื่อนไข ก็สามารถตัดสินใจได้เลย
6. หลังติดตั้งฟิล์มกรองแสง
หลังติดตั้งฟิล์มกรองแสง จะห้ามเลื่อนกระจกขึ้น-ลง เป็นเวลา 7 วัน เพื่อป้องกันฟิล์มกรองแสงย่นลงมา และในส่วนของอุปกรณ์ยึดติดกระจกด้านหน้า อาทิเช่น เกรย์วัด, กล้องติดรถยนต์ เป็นต้น จะสามารถติดได้หลังจาก 4 สัปดาห์แล้ว
ทัศนวิสัยในการขับขี่หลังติดฟิล์มกรองแสงแล้ว จะรู้สึกว่ากระจกบานหน้ามัว หรือมีฟองอากาศ ถือว่าเป็นอาการปกติ อาการนี้จะหายไปเองภายใน 1-4 สัปดาห์ โดยพยายามจอดรถตากแดดบ่อย ๆ อาการนี้ก็จะหายไปได้เร็ว