คำถามที่มักได้ยินจากร้านติดฟิล์มรถยนต์
ในเมืองร้อนอย่างประเทศไทย สิ่งจำเป็นที่จะขาดไม่ได้สำหรับรถยนต์คือการติดตั้งฟิล์มกรองแสง เนื่องจากสิ่งนี้เปรียบเสมือนปราการด่านสำคัญที่จะช่วยปกป้องทุกคนในห้องโดยสารให้รอดพ้นจากการโดนแสงแดดแผดเผา ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอีกนานาประการ ร้ายแรงที่สุดคือมะเร็งผิวหนังที่อันตรายถึงชีวิต
อย่างไรก็ตาม ฟิล์มกรองแสงมีระดับความเข้มที่หลากหลาย หลายคนจึงยังไม่แน่ใจว่าควรจะเลือกระดับความเข้มเท่าไรให้เหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด บทความนี้จะมาไขข้อสงสัยดังกล่าวให้กระจ่าง เพื่อให้คุณสามารถเลือกซื้อได้อย่างตรงใจที่สุด
ติดฟิล์มรถยนต์-ความเข้ม 40%
40% คือระดับความเข้มของฟิล์มกรองแสงรถยนต์ที่ต่ำที่สุด จากภายนอกยังสามารถมองเห็นภายในห้องโดยสารได้ชัดเจนพอสมควร ดังนั้นจึงเหมาะกับคนที่ไม่ต้องการให้กระจกรถยนต์คู่ใจดำมืดจนเกินไป แต่ในทางตรงกันข้าม ความเป็นส่วนตัวก็น้อยกว่าการใช้ความเข้มที่ระดับสูงกว่านี้ด้วยเช่นกัน เรื่องนี้ความชอบขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
ติดฟิล์มรถยนต์-ความเข้ม 60%
อีกหนึ่งระดับความเข้มของฟิล์มกรองแสงรถยนต์ยอดนิยมคือ 60% ความเป็นส่วนตัวภายในห้องโดยสารก็เพิ่มขึ้นตามระดับความเข้มที่มากขึ้น โดยความเข้มระดับนี้ถือว่าสูงเกินไปสำหรับรถยนต์โดยสารสาธารณะ เนื่องจากภายนอกจะมองเห็นภายในไม่ชัดนัก ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาชญากรรมมากกว่า แต่สำหรับรถยนต์ส่วนตัว นี่คือระดับความเข้มที่พอดี ตอบโจทย์การใช้งาน สามารถขับขี่ภายใต้แสงแดดร้อนได้อย่างไร้กังวล
ติดฟิล์มรถยนต์-ความเข้ม 80%
แล้วก็มาถึงความเข้มสูงที่สุดของฟิล์มกรองแสงกันความร้อน ที่ระดับ 80% เหตุผลหลักที่ทำให้คนตัดสินใจเลือกใช้ความเข้มระดับที่สูงขนาดนี้มี 2 ประการ
ประการแรก คือประสิทธิภาพในการป้องกันความร้อนและแสงแดดซึ่งถือว่าสูงมาก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการขับขี่ที่สมบุกสมบัน พร้อมลุยไปในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูง แสงแดดร้อนแรงที่ระดับความเข้มของฟิล์มกรองแสงที่ต่ำกว่านี้ไม่สามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้ความเข้ม 80% จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ประการที่ 2 ความเข้มระดับ 80% ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการให้ภายในห้องโดยสารรถยนต์เป็นพื้นที่ส่วนตัวอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากกระจกทุกด้านจะมืดสนิท และแทบไม่มีทางที่ภายนอกจะมองเข้ามาเห็น นอกจากจะเข้ามาส่องในระยะประชิด แต่ความมืดทึบเช่นนี้ก็เปรียบเสมือนดาบสองคม หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น คนภายนอกก็ยากที่จะรู้ ทำให้การช่วยเหลืออาจเป็นไปอย่างล่าช้า